ในยุคที่สังคมเปิดกว้างและยอมรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น ความเป็นตัวเองจึงไม่ถูกจำกัดอยู่แค่กรอบของเพศหญิงหรือชาแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่นังรวมถึงการแสดงออกและการใช้ชีวิตตามอัตลักษณ์ทางเพศที่แท้จริงของแต่ละคน การผ่าตัดแปลงเพศจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อีกต่อไปทั้งยังกลายเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและเติมเต็มชีวิตให้กับผู้คนจำนวนมาก การศัลยกรรมตัดหน้าอก (Female-to-Male :FTM) จึงนับเป็นอีกหนึ่งศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงจากหญิงเป็นชาย ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงช่วยปรับรูปลักษณ์ให้สอดคล้องกับตัวจนแต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย ในบทความนี้หมอได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการศัลยกรรมตัดหน้าอก (FTM) ตั้งแต่ประโยชน์ ขั้นตอนการรักษารวมไปจนถึงวิธีดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดหน้าอก เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจก่อนเข้ารับการผ่าตัดรักษา
การศัลยกรรมตัดหน้าอก (Female-to-Male :FTM) คืออะไร
การศัลยกรรมตัดหน้าอก คือ กระบวนการผ่าตัดที่มีเป้าหมายในการปรับรูปลักษณ์ของหน้าอกให้ใกล้เคียงกับลักษณะของหน้าอกเพศชายมากที่สุด โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อนำเนื้อเยื่อเต้านมออก ตัดแต่งผิวหนังส่วนเกิน พร้อมกับย้ายตำแหน่งของหัวนมและปานนมใหม่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทำให้ได้หน้าอกที่มีลักษณะแบนราบ มีความสมส่วนและดูเป็นธรรมชาติตามโครงสร้างของหน้าอกเพศชายมากที่สุด
ศัลยกรรมตัดหน้าอก เหมาะกับใคร
การศัลยกรรมตัดหน้าอกถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคลที่ต้องการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของหน้าอกให้แบนราบและใกล้เคียงกับเพศชายมากขึ้น โดยเหมาะกับกลุ่มบุคคลดังต่อไปนี้
- บุคคลข้ามเพศจากหญิงเป็นชาย (Transgender Men) เพศหญิงที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวตนรวมถึงรูปลักษณ์ทางกายภาพของตนเองให้ใกล้เคียงกับเพศชายมากที่สุด ทั้งนี้คนไข้จะต้องผ่านการประเมินสภาพจิตใจ และมีใบรับรองจากจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่าเป็นผู้ที่มีภาวะความไม่พึงพอใจในเพศของตนเองหรือมีความทุกข์ใจในเพศสภาพ (Gender dysphoria :GD) และเคยทดลองใช้ชีวิตแบบเพศชายมาก่อนแล้วในช่วงเวลาหนึ่ง โดยก่อนเข้ารับการผ่าตัดคนไข้จะต้องได้รับการประเมินจากจิตแพทย์ท่านที่สองเพื่อช่วยตรวจสอบและยืนยันความพร้อมทางด้านจิตใจ
- ผู้ที่รู้สึกไม่สบายใจหรือมีความทุกข์ใจเกี่ยวกับลักษณะหน้าอกของตนเอง โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ทางเพศโดยตรง เพียงแต่ต้องการปรับหน้าอกให้แบนราบเพื่อเพิ่มความมั่นใจและความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน
- ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือข้อจำกัดอื่นๆ เกี่ยวกับหน้าอก เช่น ผู้ที่มีหน้าอกขนาดใหญ่มากจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ หรือผู้ที่เผชิญปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น โรคมะเร็งเต้านม หรือเนื้องอกบริเวณเต้านม
อย่างไรก็ตามการศัลยกรรมตัดหน้าอกเป็นกระบวนการผ่าตัดที่ต้องมีการวางแผนและพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในด้านความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ ผู้ที่สนใจเข้ารับเข้ารับการศัลยกรรมตัดหน้าอกจึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับแต่ละบุคคล

ประโยชน์ของการทำศัลยกรรมตัดหน้าอก
- ช่วยเพิ่มความมั่นใจในรูปร่างของตนเอง การศัลยกรรมตัดหน้าอกจากหญิงเป็นชายช่วยให้รูปลักษณ์ทางกายภาพสอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศของแต่ละบุคคลมากขึ้น ช่วยลดความทุกข์ใจจากการรู้สึกว่าร่างกายไม่สอดคล้องกับเพศสภาพที่แท้จริงของตนเอง
- ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต ช่วยให้เคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้สะดวกมากขึ้นรวมถึงช่วยลดปัญหาสุขภาพทางกาย เช่น อาการปวดคอ หลัง ไหล่หรืออาการปวดร้าวบริเวณใต้ราวนม
- ช่วยปรับบุคลิกภาพและรูปลักษณ์ให้ดูดีมากขึ้น ด้วยการปรับเปลี่ยนลักษณะภายนอกให้สอดคล้องใกล้เคียงกับความเป็นชาย ทำให้แต่งตัวได้ง่ายขึ้น ช่วยเพิ่มความมั่นใจและเสริมภาพลักษณ์ที่ดีเมื่อต้องเข้าสังคม
ปัจจัยสำคัญที่ควรรู้ก่อนการผ่าตัดหน้าอกเปลี่ยนหญิงเป็นชาย
เนื่องจากขนาดและรูปร่างหน้าอกของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน การศัลยกรรมตัดหน้าอกจึงต้องได้รับการวางแผนและออกแบบอย่างเหมาะสม โดยแพทย์จะพิจารณาปัจจัยสำคัญต่างๆ ดังนี้
1. ขนาดของหน้าอก
ขนาดหน้าอกของผู้ที่ต้องการตัดหน้าอกเปลี่ยนหญิงเป็นชายสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่
- หน้าอกใหญ่ ในกรณีที่คนไข้มีหน้าอกขนาดกลางถึงใหญ่ หลังจากการคว้านเอาเนื้อนมออกไปแล้วอาจมีผิวหนังส่วนเกินเหลืออยู่มาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีผิวเต้านมหย่อนคล้อยเป็นทุนเดิมทำให้ผิวหนังไม่สามารถหดตัวกลับเข้าไปได้เอง ในกรณีนี้แพทย์มักเลือกใช้วิธีการผ่าตัดเปิดแผลยาวเพื่อตัดเนื้อนมและผิวส่วนเกินออกทั้งหมดพร้อมกับการปลูกถ่ายหัวนมใหม่ (Free Nipple Graft) ซึ่งเป็นการตัดหัวนมออกก่อน แล้วนำไปปลูกถ่ายในตำแหน่งที่เหมาะสมหลังการตัดหน้าอก
- หน้าอกเล็ก ผู้ที่มีหน้าอกเล็กจะมีข้อได้เปรียบเนื่องจากรอยแผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก โดยส่วนใหญ่จะมีแผลอยู่เฉพาะรอบปานนม ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณี คือ
- หน้าอกเล็ก หัวนมปกติ รูปทรงของหน้าอกลักษณะนี้มักจะอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมอยู่แล้ว การผ่าตัดมักใช้วิธีเปิดแผลเฉพาะขอบล่างของปานนมซึ่งเรียกรอยแผลลักษณะนี้ว่า แผลรูปตัวยู (U)
- หน้าอกเล็ก แต่ระดับหัวนมต่ำ ในกรณีนี้แพทย์มักจะเลื่อนหัวนมลงไปด้วยโดยจะกรีดแผลเป็นรูปตัว O รอบปานนมเพื่อยกกระชับผิวหนังและย้ายตำแหน่งหัวนมให้อยู่สูงขึ้นในระดับที่เหมาะสมได้พร้อมกัน ส่วนรอยแผลอาจอยู่เฉพาะครึ่งล่างของปานนมหรือรอบปานนมทั้งหมดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละบุคคล
2. ตำแหน่งของหัวนม
ตำแหน่งหัวนมของคนไข้แต่ละคนมีความแตกต่างกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีหน้าอกเล็ก ตำแหน่งหัวนมมักอยู่ในระดับปกติ แพทย์จึงผ่าตัดเพื่อคว้านเอาเนื้อนมออกแค่เพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องปรับตำแหน่งของหัวนมใหม่ แต่สำหรับคนไข้ที่มีหน้าอกขนาดใหญ่หรือหัวนมหย่อนคล้อยลงมาด้านล่าง แพทย์จะใช้วิธีผ่าตัดเพื่อคว้านเอาเนื้อนมและผิวหนังส่วนเกินออก พร้อมกับยกกระชับหัวนมให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อให้หน้าอกดูแบนราบและสวยงามเป็นธรรมชาติมากที่สุด
3. ลักษณะผิวหนัง
ลักษณะผิวหนังบริเวณหน้าอกของคนไข้มีหลายรูปแบบ บางคนมีผิวหนังที่ยืดหยุ่น สุขภาพดี และกระชับ ในขณะที่บางกรณีอาจมีปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อย เหี่ยวย่น หรือขาดความยืดหยุ่น ซึ่งแพทย์จะต้องพิจารณาลักษณะผิวหนังของคนไข้แต่ละบุคคลอย่างละเอียดเพื่อเลือกเทคนิคศัลยกรรมตัดหน้าอกที่เหมาะสม ทำให้ได้หน้าอกที่แบนราบ มีความสมส่วนและดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด

เทคนิคการผ่าตัดหน้าอกเปลี่ยนหญิงเป็นชาย (FTM) มีอะไรบ้าง? มีข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร
การผ่าตัดหน้าอก FTM มีให้เลือกใช้หลายเทคนิคขึ้นอยู่กับลักษณะหน้าอก และความต้องการของคนไข้ โดยมีเทคนิคการผ่าตัดหน้าอกที่ได้รับความนิยม ดังนี้
- เทคนิคตัดหน้าอกแผลรูปตัว I หรือเทคนิคแผลแนวขวาง โดยแพทย์จะกรีดเปิดแผลเป็นเส้นยาวที่ใต้ราวนมเพื่อคว้านเอาเนื้อนมและตัดแต่งผิวหนังส่วนเกินออกจนหมด จากนั้นจึงดึงเต้านมให้ตึงเพื่อเย็บปิดแผลตามแนวใต้ราวนมและทำการปลูกถ่ายหัวนมใหม่เพื่อย้ายหัวนมไปไว้ยังตำแหน่งที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนสุดท้าย เทคนิคนี้เหมาะกับผู้ที่มีหน้าอกขนาดกลางถึงใหญ่ ข้อดี คือ แผลผ่าตัดอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้น้อยเมื่อแผลหาย รอยแผลสั้น ส่วนข้อเสีย คือ มีโอกาสทำให้เต้านมสูญเสียความรู้สึกได้สูง
- เทคนิคตัดหน้าอกแผลรูปตัว U แพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อเปิดแผลรอบบริเวณปานนมเป็นรูปตัว U ซึ่งเลียนแบบลักษณะราวนมเดิมของเพศหญิง จากนั้นจึงคว้านเอาเนื้อนมออกจนหมดแล้วเย็บปิดแผล เทคนิคนี้เหมาะกับคนไข้ที่มีหน้าอกขนาดเล็กและหัวนมอยู่ในระดับปกติ ข้อดีคือ รอยแผลเล็กและกลืนเข้ากับขอบปานนมได้อย่างแนบเนียน เส้นประสาทบริเวณเต้านมได้รับความเสียหายน้อยและฟื้นตัวเร็ว ข้อเสียคือไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีขนาดหน้าอกใหญ่ และระดับหัวนมต่ำ
- เทคนิคตัดหน้าอกแผลรูปตัว L แพทย์จะกรีดแผลบริเวณขอบกล้ามเนื้อหน้าอกที่เรียกว่า Pectoralis Major ซึ่งจะเลียนแบบหน้าอกของผู้ชาย โดยเทคนิคแผลรูปตัว L เหมาะกับผู้ที่มีหน้าอกค่อนข้างใหญ่เนื่องจากแนวแผลที่กรีดจะยาวขึ้นไปตามขอบด้านข้างลำตัว ข้อดีของเทคนิคคือ แพทย์สามารถปรับตำแหน่งและรูปร่างของหน้าอกได้ละเอียด ทำให้หน้าอกแบนราบและได้รูปทรงที่เป็นธรรมชาติ ข้อเสียคือ รอยแผลผ่าตัดยาวมากกว่าเทคนิคอื่น ใช้เวลาฟื้นตัวนานและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นหากดูแลแผลไม่เหมาะสม
การเตรียมตัวก่อนทำศัลยกรรมตัดหน้าอก
การเตรียมตัวอย่างเหมาะสมก่อนเริ่มขั้นตอนการผ่าตัดหน้าอก FTM เปลี่ยนหญิงให้เป็นชาย นับเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยลดภาวะความเสี่ยงและสร้างผลลัพธ์ที่ดีหลังการผ่าตัดรักษา โดยควรเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัดหน้าอก ดังนี้
- ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินลักษณะหน้าอก และเลือกเทคนิคการผ่าตัดที่เหมาะสม โดยคนไข้จะต้องแจ้งประวัติสุขภาพ โรคประจำตัวและยาที่ใช้เป็นประจำ ตลอดไปจนถึงประวัติการแพ้ยาและอาหารให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
- ตรวจร่างกายตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น การตรวจเลือด CBC และ Anti-HIV ตรวจเอกซเรย์ปอด หรือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
- เข้าพบจิตแพทย์เพื่อประเมินความพร้อมของสภาพจิตใจก่อนเข้ารับการผ่าตัด โดยจะต้องผ่านการประเมินจากจิตแพทย์อย่างน้อย 2 ท่าน
- งดใช้ยาและอาหารเสริมที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด เช่น ยาแอสไพริน ยาในกลุ่ม NSAIDs วิตามินอี น้ำมันตับปลา รวมถึงฮอร์โมนเพศชายเพื่อป้องกันภาวะเลือดหยุดไหลยากในระหว่างและหลังการผ่าตัด
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
- ในวันที่เข้ารับการผ่าตัด ควรงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด (หรือตามที่แพทย์แนะนำ) เพื่อป้องกันภาวะสำลักระหว่างการผ่าตัด
- เตรียมเสื้อผ้าหลวมๆ ที่มีซิปหรือกระดุมหน้าเพื่อความสะดวกในการเปลี่ยนชุดหลังการผ่าตัด ทั้งนี้ควรมีผู้ติดตามหรือมีคนในครอบครัวเพื่อช่วยดูแลหลังการผ่าตัดหน้าอก
- ควรเตรียมวันหยุดสำหรับพักฟื้นหลังผ่าตัด อย่างน้อย 5-7 วัน และจัดเตรียมพื้นที่ภายในที่พักให้เหมาะสมสำหรับการพักฟื้น เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่
ผ่าตัดหน้าอก FTM ใช้เวลากี่ชั่วโมง
ระยะเวลาที่ใช้ในการผ่าตัดหน้าอก FTM อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัญหาหน้าอกของแต่ละบุคคล เช่น ขนาดหน้าอก ตำแหน่งหัวนม ปริมาณเนื้อนม สภาพผิวหนัง และเทคนิคที่ใช้ในการผ่าตัด ซึ่งโดยทั่วไปการผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 2-4 ชั่วโมง แต่หากเป็นกรณีที่มีความซับซ้อน เช่น หน้าอกขนาดใหญ่มาก มีการปรับตำแหน่งหัวนมและตัดแต่งผิวหนังส่วนเกินออกเยอะ อาจใช้เวลานานขึ้นตามดุลยพินิจของแพทย์ผู้ผ่าตัด
วิธีดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรมตัดหน้าอก
- หลังการผ่าตัดหน้าอก คนไข้จะต้องใส่เสื้อรัดหน้าอก (Pressure Garment) ตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อช่วยการยุบบวม ลดการเกิดเลือดคั่งหรือน้ำเลือดคั่ง และช่วยประคองหน้าอกให้เป็นทรงสวย โดยควรใส่เสื้อรัดหน้าอกอยู่เสมอในช่วง 4-6 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด
- ควรพักฟื้นอย่างน้อย 7-10 วัน เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูตัวเองได้อย่างเต็มที่ก่อนกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ
- หลีกเลี่ยงการยกของหนัก รวมถึงการออกกำลังกายทั้งแบบเวทเทรนนิ่งหรือคาร์ดิโอในช่วง 4-6 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด ควรรอให้แผลหายสนิทจึงจะสามารถกลับมาใช้แรงได้ตามเดิม
- ดูแลทำความสะอาดแผลตามคำแนะนำของแพทย์ เปลี่ยนผ้าก๊อซและทำแผลตามกำหนดเวลา ใช้วัสดุที่ปลอดเชื้อและหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลด้วยมือโดยตรง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ งดอาหารหมักดอง อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ งดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ในช่วงพักฟื้น
- เข้ารับการตรวจติดตามผลตามกำหนดนัด ไม่ผิดนัดหรือเลื่อนนัดโดยไม่มีความจำเป็น หากพบอาการผิดปกติ เช่น รอยแผลบวมแดง มีหนองหรือเลือดไหลไม่หยุด รู้สึกเจ็บแผลมากผิดปกติ หรือมีไข้สูง ควรรีบเข้าพบแพทย์เจ้าของเคสทันที
สรุป
การผ่าตัดหน้าอก FTM เป็นการศัลยกรรมที่ช่วยปรับรูปลักษณ์ของหน้าอกให้แบนราบและใกล้เคียงกับหน้าอกเพศชาย โดยมีขั้นตอนการผ่าตัดเพื่อนำเนื้อนมและผิวหนังส่วนเกินออก รวมถึงการปลูกถ่ายหัวนมใหม่ด้วยเทคนิคที่เหมาะสม เช่น เทคนิคตัดหน้าอกแผลรูปตัว I, เทคนิคตัดหน้าอกแผลรูปตัว U และเทคนิคตัดหน้าอกแผลรูปตัว L อย่างไรก็ตามผู้ที่สนใจเข้ารับการผ่าตัดหน้าอกควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินลักษณะหน้าอกและเลือกเทคนิคการผ่าตัดที่เหมาะสม รวมไปจนถึงควรเข้าพบจิตแพทย์เพื่อประเมินภาวะจิตใจที่ไม่ตรงกับเพศสภาพโดยละเอียดก่อนเริ่มขั้นตอนการผ่าตัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีความปลอดภัยมากที่สุด