เมื่ออายุเพิ่มขึ้นปัญหาผิวที่ตามมาราวกับเงาติดตัวก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของความหย่อนคล้อย ริ้วรอยร่องลึกและรอยเหี่ยวย่นที่กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วทั้งใบหน้า อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส หน้าดูแก่เกินวัยจนทำให้หลายๆ คนรู้สึกไม่มั่นใจในผิวพรรณของตนเอง ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีหัตถการช่วยยกกระชับใบหน้าจำนวนมาก เช่น การฉีดโบท็อก (Botox) ฟิลเลอร์ (Filler) การร้อยไหม ตลอดไปจนถึงการใช้เลเซอร์เพื่อปรับโครงสร้างผิวให้กลับมาสวยเด้งเต่งตึงได้อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีหัตถการใดที่ช่วยยกกระชับใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการดึงหน้า (Face lift) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีปัญหาความหย่อนคล้อย ริ้วรอยร่องลึกและผิวเหี่ยวย่นในระดับรุนแรง สำหรับใครที่มีปัญหาความหย่อนคล้อย ผิวหน้าขาดความกระชับและกำลังสนใจการดึงหน้าแต่ยังไม่แน่ใจว่าเป็นหัตถการที่เหมาะสมหรือไม่? การดึงหน้ามีกี่เทคนิค มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร? บทความนี้มีคำตอบครับ
ศัลยกรรมดึงหน้า คืออะไร

การศัลยกรรมดึงหน้า หรือ ผ่าตัดดึงหน้า (Face lift) คือ การผ่าตัดเพื่อยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าให้มีความเต่งตึงและกระชับมากขึ้น โดยแพทย์จะทำการกรีดเปิดแผลในตำแหน่งต่างๆ เพื่อตัดผิวหนังส่วนที่หย่อนคล้อยออกแล้วทำการเก็บยกหรือดึงชั้นผิวหนังทั้ง 2 ชั้นหรือมากกว่านั้น ได้แก่ ชั้นผิวหนังด้านบนและชั้นกล้ามเนื้อ SMAS (Superficial Musculo Aponeurotic system) ซึ่งเป็นชั้นกล้ามเนื้อบางๆ ที่ใต้ชั้นผิวหนังซึ่งใช้ในการแสดงอารมณ์ให้กลับมากระชับ เต่งตึงมากขึ้น หลังการผ่าตัดดึงหน้าโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงจะช่วยยกกระชับใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ หน้าดูเด็กลงได้ชัดเจน 10-20 ปี และสามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 5-10 ปี
ศัลยกรรมดึงหน้า เหมาะกับใครบ้าง
การผ่าตัดดึงหน้าเหมาะกับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยของใบหน้าในระดับต่างๆ ขึ้นอยู่กับอายุและปัญหาผิวของแต่ละบุคคล โดยสามารถทำการผ่าตัดดึงหน้าเฉพาะจุดในกลุ่มที่อายุยังน้อย มีความหย่อนคล้อยบนใบหน้าแค่เพียงบางส่วน รวมไปจนถึงการยกกระชับทั้งใบหน้าที่ในกลุ่มผู้ที่มีอายุมากและต้องการผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน หลังทำอยู่ได้นานหลายปี ไม่ต้องกลับเข้ามาทำหัตถการยกกระชับผิวอยู่บ่อยๆ
ศัลยกรรมดึงหน้า มีทั้งหมดกี่แบบ? ควรเลือกทำแบบไหน
โดยปกติแล้วปัญหาความหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับมักเกิดขึ้นจากใบหน้าส่วนบน (Upper Face) แก้มบน ไล่มาถึงร่องแก้มซึ่งเป็นใบหน้าส่วนกลาง (Middle Face) และใบหน้าส่วนล่าง (Lower Face) ที่บริเวณรอบริมฝีปาก ใต้คางและคอ รูปแบบของการผ่าตัดดึงหน้าจึงมีการไล่ระดับจากด้านบนลงล่างเช่นกัน ได้แก่ การดึงหน้าส่วนบน (Temporal Lift) การดึงหน้าส่วนกลาง (Mini Face Lift) การดึงหน้าส่วนล่าง (Anterior Face Lift) และการดึงหน้าทั้งหมดรวมไปจนถึงใต้คางและลำคอ (Full Face Lift) โดยการดึงหน้าแต่ละรูปแบบมีตำแหน่งและลักษณะการลงแผลที่ต่างกันไป เพื่อช่วยแก้ไขความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นตามจุดต่างๆ ดังนี้
1. การดึงขมับ (Temporal Lift)

เป็นการผ่าตัดดึงขมับเพื่อยกกระชับใบหน้าส่วนบนเริ่มตั้งแต่บริเวณขมับ หน้าผาก ระหว่างคิ้ว รวมไปจนถึงสามารถประยุกต์ใช้เพื่อดึงหางตาหรือหางคิ้วที่ตกลงให้ยกสูงขึ้นอย่างเหมาะสมได้อีกด้วย โดยแพทย์จะกรีดเปิดแผลที่บริเวณไรผมเหนือขมับทั้ง 2 ข้าง เพื่อเลาะชั้นใต้ผิวหนังไปจนถึงชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อขมับแล้วตัดผิวหนังที่หย่อนคล้อยออก จากนั้นจึงเย็บขึงกล้ามเนื้อให้เต่งตึงขึ้นอย่างพอเหมาะและเย็บซ่อนแผลบริเวณไรผมเป็นขั้นตอนสุดท้าย การดึงขมับเหมาะกับผู้ที่ต้องการดึงหน้าเฉพาะส่วนบนของใบหน้า มีรอยย่นหน้าผาก รอยย่นระหว่างคิ้ว ผู้ที่มีหนังตาเยอะ คิ้วตก หางตาตก หลังผ่าตัดบวมช้ำน้อย ใช้เวลาฟื้นตัวประมาณ 1-2 สัปดาห์
2. การดึงหน้าส่วนกลาง (Mini Face Lift)

เป็นเทคนิคการผ่าตัดดึงหน้าที่เริ่มตั้งแต่ช่วงหางตา แก้มส่วนบนและอาจเลยมาถึงช่วงร่องแก้ม โดยแพทย์จะกรีดเปิดแผลที่บริเวณไรผมเหนือขมับต่อลงมาอยู่บนขอบติ่งหน้าหู (Tragus) ทั้ง 2 ข้าง เพื่อเลาะผ่านชั้นผิวหนังแต่ละชั้นไปจนถึงชั้นกล้ามเนื้อ SMAS แล้วดึงขึ้นพร้อมกันเพื่อเย็บขึงกล้ามเนื้อไว้ในตำแหน่งที่สูงขึ้น ตัดหนังส่วนเกินที่หย่อนคล้อยออกและเย็บปิดแผล การดึงหน้าส่วนกลางเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยในระดับเริ่มต้นถึงปานกลาง มีริ้วรอยหน้าผาก ริ้วรอยรอบดวงตาและร่องแก้ม ข้อดีคือรอยแผลเล็ก ยุบบวมเร็วและฟื้นตัวไว
3. การดึงหน้าส่วนล่าง (Anterior Face Lift)

เป็นเทคนิคการดึงหน้าส่วนล่างซึ่งประกอบด้วย ร่องแก้ม ร่องข้างๆ ริมฝีปากรวมไปจนถึงบริเวณใต้คางได้เล็กน้อย โดยแพทย์จะทำการกรีดเปิดแผลทั้ง 2 ข้าง เริ่มจากบริเวณขมับเหนือไรผมต่อลงมาอยู่บนขอบติ่งหน้าหู (Tragus) และอาจอ้อมไปที่หลังหูได้ตามความเหมาะสมเพื่อช่วยเก็บมุมกรอบหน้าบริเวณกราม จากนั้นจึงทำการเลาะผ่านชั้นผิวหนังไปยังชั้น SMAS แล้วดึงผิวทั้งสองชั้นให้ได้ระดับความเต่งตึงที่เหมาะสมพร้อมตัดหนังส่วนเกินออก ข้อดีของวิธีนี้คือทำให้ดึงชั้นผิวหนังได้กว้างและอิสระขึ้นเหมาะกับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยที่ส่วนล่างของใบหน้า ร่องแก้ม ร่องมุมปากและกรอบหน้าไม่ชัดเจน
4. การดึงหน้าทั้งหมดรวมถึงลำคอ (Full Face Lift)

เป็นการผ่าตัดเพื่อดึงผิวหน้าทั้งหน้ารวมไปจนถึงผิวบริเวณลำคอ โดยแพทย์จะกรีดเปิดแผลทั้ง 2 ข้าง เริ่มต้นจากช่วงขมับเหนือไรผม ขอบติ่งหน้าหู (Tragus) อ้อมไปด้านหลังในแนวชิดขอบหูและอาจขยายไปจนถึงผมด้านหลังหูหรือขอบไรผมหลังหูขึ้นอยู่กับปัญหาความหย่อนคล้อยและความต้องการของผู้เข้ารับบริการ การกรีดเปิดแผลที่มีลักษณะเป็นแนวยาวช่วยทำให้แพทย์เลาะผ่านชั้นผิวหนังไปยังชั้น SMAS ได้กว้างและอิสระขึ้น จึงสามารถดึงผิวที่บริเวณใบหน้าและลำคอให้ตึงขึ้นได้พร้อมๆ กันในครั้งเดียว ส่งผลให้ผิวหน้าและผิวบริเวณลำคอดูเรียบเนียนเป็นหนึ่งเดียวกัน หน้าดูเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ ดูไม่แปลกตา การดึงหน้าแบบ Full Face Lift เหมาะกับผู้ที่มีอายุมาก ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้า กรอบหน้าและลำคอหย่อนคล้อยอย่างรุนแรง หลังการดึงหน้าแบบ Full Face Lift จะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน เปรียบเสมือนการย้อนเวลาให้หน้าดูเด็กลงได้ 10-20 ปี
ปัญหาแทรกซ้อนที่ควรระวังหลังการผ่าตัดดึงหน้า
การดึงหน้าเป็นการศัลยกรรมยกกระชับที่มีความละเอียดซับซ้อนซึ่งต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์รวมไปจนถึงศิลปะความงามและรสนิยมในการวางรูปหน้าของแพทย์ผู้ทำการรักษา เพื่อช่วยลดการเกิดปัญหาแทรกซ้อนและผลข้างเคียงหลังจากการดึงหน้าที่พบได้บ่อย ดังนี้
- เลือดออกจากการดึงหน้า หากแพทย์ผู้ผ่าตัดมีความรู้และเข้าใจโครงสร้างชั้นผิวหนัง (Plane) เป็นอย่างดี ก็จะสามารถเลาะผ่านชั้นกล้ามเนื้อในแต่ละชั้นได้อย่างเหมาะสม ไม่ทำให้เส้นเลือดได้รับความเสียหายและทำให้เลือดออกน้อย หรือในกรณีที่เป็นการผ่าตัดดึงหน้าแบบ Anterior lift หรือ Full face lift อาจวางสายระบายเลือดออกจากแผลเพื่อทำให้แผลแห้งและฟื้นตัวได้เร็ว นอกไปจากนี้อาการเลือดออกหลังการดึงหน้ายังขึ้นอยู่กับเทคนิคการปิดแผลพันแผลในขั้นตอนสุดท้ายของการผ่าตัดได้อีกด้วย
- การติดเชื้อ เป็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการผ่าตัดดึงหน้าในห้องผ่าตัดที่ไม่ปลอดเชื้อ อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ร่วมกับการผ่าตัดไม่ได้มาตรฐานความสะอาด รวมไปจนถึงการขาดการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมหลังดึงหน้าของผู้เข้ารับบริการ เช่น ปล่อยให้แผลสัมผัสโดนน้ำ เหงื่อและความชื้นโดยตรง มีฝุ่นหรือเศษขยะอยู่ที่รอยแผลผ่าตัด ฯลฯ
- อาการชา หลังการผ่าตัดดึงหน้าอาจทำให้มีอาการชาตรงบริเวณที่มีการเลาะเนื้อเยื่อได้เป็นปกติและจะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผิวหนังสมานเข้ากับเนื้อเยื่อที่อยู่ชั้นล่างได้ตามเดิม โดยผิวส่วนหลังหูอาจหายได้ช้าสุดใช้เวลา 2-3 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้แพทย์ผู้ผ่าตัดดึงหน้าจะต้องมีความชำนาญและหลีกเลี่ยงการทำลายเส้นประสาทส่วนรับความรู้สึกได้มากที่สุด
- อันตรายต่อเส้นประสาทใบหน้า เส้นประสาทสำคัญที่กระจายอยู่ตามกล้ามเนื้อใบหน้าส่วนต่างๆ คือ เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ซึ่งทำหน้าในการควบคุมมัดกล้ามเนื้อบนใบหน้า หากแพทย์ผู้ผ่าตัดขาดความชำนาญจนทำให้เส้นประสาทได้รับความเสียหายหรือถูกตัดขาดจะทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าทำงานผิดปกติ หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว ตาปิดไม่สนิทหรือมีอาการใบหน้าอ่อนแรง อย่างไรก็ตามผู้เข้ารับบริการบางรายอาจมีความผิดปกติของเส้นประสาทใบหน้าฝั่งใดฝั่งหนึ่งที่เกิดจากความบวมไปกดทับทำให้รู้สึกชาหรืออ่อนแรงกว่าอีกข้าง ซึ่งมักหายเป็นปกติตามระยะเวลาการฟื้นตัวของรอยแผล
- แผลเป็น โดยเฉพาะการดึงหน้าในชาวเอเชียซึ่งมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นได้ง่าย หากแพทย์ผู้ผ่าตัดดึงหน้าขาดทักษะและประสบการณ์ ทำให้กรีดวางแนวแผลในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม เย็บขึงผิวหนังจนตึงรั้งมากเกินไปและรอยเย็บแผลใหญ่แยกออกมาจากผิวหนังก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นนูนแดงที่สังเกตเห็นได้โดยง่าย ทั้งนี้สามารถป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นได้โดยเลือกผ่าตัดดึงหน้ากับแพทย์ฝีมือดีและดูแลรอยแผลผ่าตัดตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัดทั้งการทำความสะอาด การทายาแก้รอยแผลเป็นหรือในบางรายที่เกิดรอยแผลเป็นได้ง่ายแพทย์อาจแนะนำให้ฉีด steroid ความเข้มข้นต่ำๆ 1 ครั้ง/เดือน ต่อเนื่องกัน 2-3 เข็ม
- ดึงหน้าแล้วรูปหน้าไม่เป็นธรรมชาติ ไม่สมดุล ผู้เข้ารับบริการบางรายพบว่าใบหน้าดูแปลกไป หน้าไม่เป็นธรรมชาติหลังการดึงหน้า เช่น ปากฉีกกว้างเกินไป หางตาชี้สูง คิ้วชี้เกินไป หน้าตึงมาก มีปัญหาผมร่วงเป็นกระจุก รากผมตาย รอยผมหลังหูเยื้องกันเป็นขั้นบันได ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการวางจุดเย็บเชื่อมและผิวหนังบนใบหน้าในแต่ละส่วนได้ไม่เหมาะสมเนื่องจากแพทย์ผู้ทำการรักษาขาดความรู้และประสบการณ์
- ความบวมช้ำ รอยบวมช้ำหลังการผ่าตัดใหญ่ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้และจะยุบบวมตามระยะเวลา หลังการผ่าตัดดึงหน้าแพทย์อาจให้ผู้เข้ารับบริการใส่ผ้ารัดหน้าเพื่อช่วย Support ให้ผิวหนังสมานตัวเข้ากับตำแหน่งที่เย็บยกขึ้นไปใหม่ได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้การประคบอุ่นสลับเย็นในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังการดึงหน้าเพื่อช่วยให้ยุบบวมได้เร็วขึ้น
เพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดความรุนแรงของอาการแทรกซ้อนหลังการดึงหน้าจึงควรเข้ารับบริการกับคลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐาน มีห้องสำหรับการผ่าตัดโดยเฉพาะและผ่านการฆ่าเชื้ออย่างเข้มข้น เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้มาตรฐานความสะอาดระดับสากล ดำเนินการรักษาโดยแพทย์ที่มีทักษะและประสบการณ์สูง มีศิลปะความงามและรสนิยมในการวางรูปหน้าที่ตรงกับความชื่นชอบส่วนบุคคล นอกจากนี้ผู้เข้ารับบริการควรดูแลตัวเองตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อและรอยแผลเป็นหลังการดึงหน้า
ดึงหน้าแล้วไม่เห็นผล เกิดจากสาเหตุใด?

ผู้เข้ารับบริการดึงหน้าในหลายๆ เคสอาจเจอปัญหาดึงหน้าแล้วไม่เห็นผล ดึงหน้าแล้วหน้ายังเหมือนเดิมหรือสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้น้อยมาก ซึ่งโดยส่วนส่วนใหญ่มักเกิดจากสาเหตุเหล่านี้
- การประเมินใบหน้าที่ไม่เหมาะสม หลายคนคาดหวังว่าหลังการดึงหน้าจะทำให้ใบหน้าตึงกระชับมากขึ้นได้ทุกส่วน ซึ่งความจริงแล้วการดึงหน้าจะได้ประโยชน์ในแนวด้านข้างของใบหน้าเป็นหลัก คือ ส่วนที่ถัดจากจมูก ตา ปากขึ้นมา ไม่ใช่การยกกระชับส่วนกลางของใบหน้า ถ้าคาดหวังผลลัพธ์คนละตำแหน่งก็อาจทำให้รู้สึกว่าไม่เกิดผลการเปลี่ยนแปลงหลังการรักษา นอกไปจากนี้การผ่าตัดดึงหน้าอาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะสำหรับทุกคนโดยขึ้นอยู่กับระดับความหย่อนคล้อย ความหนา-ความนิ่มของผิวหนัง ในเคสที่มีความหย่อนคล้อยในระยะเริ่มต้นแพทย์อาจแนะนำให้ใช้วิธีการยกกระชับผิวหน้าด้วยเทคนิคอื่นๆ ที่เหมาะสมและได้ประโยชน์มากกว่าการผ่าตัดดึงหน้า
- เทคนิคการผ่าตัดดึงหน้า หากแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดขาดความรู้และประสบการณ์หรือไม่ใช่ศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะด้านทำให้เลาะชั้นผิวหนังไปไม่ถึงระยะที่จะได้ประโยชน์ ไม่สามารถเลาะให้ชั้นกล้ามเนื้อสำคัญ free ขึ้นได้ หรือใช้วิธีเย็บย่นชั้นผิวหนังเข้าหากัน (Plication) แบบง่ายๆ จึงทำให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้น้อยมากหรือไม่เห็นผลเลย
- การวางจุดเย็บเชื่อม หากวางจุดเย็บเชื่อมผิดตำแหน่ง ดูไม่เป็นธรรมชาติ ไม่สวยงาม ก็จะทำให้ใบหน้าไม่ได้สมดุล หน้าดูไม่เท่ากัน ตาชี้ คิ้วชึ้ ทำให้หน้าดูผิดสัดส่วน
- การฉีดสารเหลวหรือการร้อยไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฉีดสารแปลกปลอม เช่น น้ำมัน ซิลิโคนเหลว ฯลฯ รวมถึงการร้อยไหม ร้อยทองหรือโลหะที่ไม่สามารถสลายตัวได้ตามธรรมชาติซึ่งทำให้เกิดพังผืดในชั้นใต้ผิวหนังและผ่าตัดดึงหน้าได้ยากขึ้น ทั้งยังเพิ่มโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการดึงหน้า เช่น มีเลือดออกมากผิดปกติ แผลอักเสบติดเชื้อ ผิวหนังตายเพราะเส้นเลือดไม่มาเลี้ยง เป็นต้น
- แนวแผลและรอยแผลเป็น นอกไปจากการดึงหน้าจะไม่ช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงแล้วนั้นอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นที่สังเกตเห็นได้ชัด ซึ่งมักเกิดขึ้นจากแพทย์กรีดเปิดแผลเพื่อขึงกล้ามเนื้อให้ตึงมากขึ้นอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงการซ่อนแนวแผล ทำให้มองเห็นแนวแผลยาวเกินไปและอาจทำให้เกิดรอยแผลนูนร่วมด้วยหากเทคนิคการเย็บปิดแผลของแพทย์ไม่ดีพอหรือผู้เข้ารับบริการไม่ดูแลทำความสะอาดแผลตามคำสั่งแพทย์
สรุป
การดึงหน้าเป็นการผ่าตัดยกกระชับเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยและริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ เพื่อปรับผิวหน้าให้เต่งตึง หน้าดูเด็กลงได้มากถึง 10-20 ปี ซึ่งสามารถดึงหน้าได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับความหย่อนคล้อย ความหนา-ความนิ่มของผิวหนังในแต่ละบุคคล ได้แก่ การดึงหน้าทั่วใบหน้าและลำคอ (Full Face Lift) และการดึงหน้าเฉพาะจุดทั้งใบหน้าส่วนบน ส่วนกลางและใบหน้าส่วนล่าง อย่างไรก็ตามเพื่อผลลัพธ์ที่สวยงามดูเป็นธรรมชาติและช่วยลดโอกาสการเกิดปัญหาแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดควรเข้ารับบริการกับคลินิกเสริมความงามที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ดำเนินการรักษาโดยแพทย์มากฝีมือและมีประสบการณ์ด้านการผ่าตัดดึงหน้ามาเป็นอย่างดี สามารถวิเคราะห์ปัญหาผิวและเลือกวิธีการผ่าตัดดึงหน้าที่ช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม วางแนวแผลตามขอบแนวธรรมชาติของร่องหูและไรผมได้แนบเนียน สังเกตเห็นได้ยาก สร้างผลลัพธ์การดึงหน้าได้อย่างชัดเจน ตรงจุดและตอบโจทย์ความต้องการของผู้เข้ารับบริการได้เป็นอย่างดี